WHAT'S NEW?
Loading...
              ผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์ส ยังพบผู้ป่วยต่อเนื่องเรื่อยๆ ณ ตอนนี้ก็หลายประเทศแล้ว เช่น จอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ตูนีเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน คูเวต ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย จีน ฯลฯ และล่าสุดคือ เกาหลีใต้ แม้ในไทยจะยังไม่พบผู้ติดเชื้อเมอร์ส แต่จำเป็นต้องรู้จักไวรัสชนิดนี้เอาไว้ เพื่อป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง


6 อาการที่เข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (MERS-CoV)

              อาการของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า มีลักษณะคล้ายกับโรคซาร์ส แต่รุนแรงมากกว่า โดยจะมีอาการสำคัญๆ ดังนี้
  1. มีไข้
  2. ไอ
  3. หายใจหอบและหายใจลำบาก ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจมีภาวะหายใจล้มเหลว
  4. ตรวจร่างกายมักจะพบว่าเป็นปอดอักเสบ
  5. ถ่ายเหลว
  6. ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะอวัยวะล้มเหลว โดยเฉพาะไตวาย หรือ ช็อคจากการติดเชื้อ

ดูแลตัวเองยังไงให้ห่างไกลการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า


              เนื่องจากไวรัสชนิดนี้ยังไม่มียารักษาและวัคซีนป้องกัน การดูแลตัวเองจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ในชั่วโมงนี้ ซึ่งคำแนะนำในการป้องกันไวรัสชนิดนี้ มีดังนี้
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่
  • เลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก หรือ อาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ
  • ใช้ช้อนกลางเมื่อต้องทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
  • ไม่สัมผัสตา จมูกหรือปากด้วยมือที่ยังไม่ล้าง
  • ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน โดยมีไข้และไอรุนแรงขนาดที่รบกวนชีวิตประจำวัน ควรงดพบปะกับคนอื่นๆ เพื่อลดการแพร่เชื้อ เมื่อไอและจามก็ควรปิดปากด้วยทิชชู่ และทิ้งลงถังขยะ ถ้าอยู่ภาวะคับขัน หาทิชชู่ไม่ได้ ให้ไอหรือจามใส่ต้นแขนของตัวเอง อย่าไอหรือจามใส่มือเด็ดขาด เพราะต้องไปสัมผัสกับสิ่งของอื่นๆ อีก ยิ่งเป็นการแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น
  • หากได้เดินทางกลับมาจากตะวันออกกลาง ถ้ารู้สึกเหมือนมีไข้ ไอและจาม ในช่วงสองสัปดาห์หลังจากกลับมาถึง ให้ไปพบแพทย์ทันที (เชื้อเมอร์ส มีระยะฟักตัว 2-14 วัน)
  • หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับอูฐ สัมผัสอูฐ หรือดื่มน้ำนมดิบจากอูฐ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.dek-d.com/education/37391/
http://thriving.childrenshospital.org
http://www.cdc.gov
          คนในประเทศแถบเหนืออาจจะมองเห็นแสงเหนืออันลึกลับแปลกประหลาด ฉายอยู่ในท้องฟ้าตอนมืด บางครั้งมันก็อยู่ไกลไปทางใต้ถึงกรุงลอนดอน แสงนั้นอาจเป็นสีน้ำเงินหรือสีเขียว หรือสีส้มปนเหลืองหรือสีแดง หรืออาจเป็นสีหลายสีผสมกันก็ได้ บางทีก็ดูเหมือนมันขึ้นๆลงๆเหมือนแสงไฟนีออน


          ในหลอดไฟนีออนจริงๆนั้นบรรจุก๊าซชนิดหนึ่ง ซึ่งจะส่องสว่างเมื่อเราเปิดไฟ และเหนือโลกเรานั้นก็มีก๊าซหลายชนิดลอยอยู่เช่นเดียวกัน และไฟฟ้าทำให้มันส่องแสงออกมาได้ ไม่มีใครไปกดปุ่มเปิดไฟแสงเหนือหรอกแต่ก๊าซมันสว่างขึ้นเอง เมื่อมันกระทบกับอนุภาคไฟฟ้า ซึ่งมาจากดวงอาทิตย์


          อนุภาคไฟฟ้าบางอันก็ถูกส่งมาจากดวงอาทิตย์ ทุกๆวันแต่ในบางครั้งดวงอาทิตย์มีพายุไฟฟ้าอย่างหนัก พายุนั้นได้ส่งอนุภาคไฟฟ้าออกมาเป็นจำนวนมากมาย อนุภาคไฟฟ้าเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นวงแหวนอยู่สูงเหนือพื้นโลกเมื่อวงแหวนนี้อัดแน่นเกินไปมันจะล้นออกมา ละอองของอนุภาคเหล่านั้นจะตกลงมายังขั้วโลกเหนือจึงทำให้เกิดแสงเหนือขึ้น อนุภาคไฟฟ้าที่ตกลงมาขั้วโลกใต้ ก็จะทำให้มีแสงอีกชนิดหนึ่งขึ้นที่ส่วนใต้ของโลก

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.ความรู้รอบตัว.com/วิทยาศาสตร์-อวกาศ/แสงเหนือคืออะไร.html
http://eraklasik.info/?p=244#.VaPYAvntlBc
http://i.ytimg.com/vi/1Mpd08COmL0/maxresdefault.jpg
          สวัสดีครับ คอลัมน์บุลคลสำคัญวันนี้ ผมขอนำเสนอเกี่ยวกับบุคคลที่เป็นคนสำคัญคนหนึ่งในวงการวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน (Charles Robert Darwin) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) เขาตีพิมพ์ข้อเสนอของเขาในปี ค.ศ. 1859 ในหนังสือชื่อ The Origin of Species (กำเนิดของสรรพชีวิต) ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ผลงานนี้ปฏิเสธแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของสปีชีส์ ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 ชุมชนวิทยาศาสตร์และสาธารณชนส่วนมากจึงยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการในฐานะที่เป็นความจริง อย่างไรก็ดี ยังมีคำอธิบายที่เป็นไปได้ทางอื่นๆ อีก และยังไม่มีการยอมรับทฤษฎีนี้เป็นเอกฉันท์ว่าเป็นกลไกพื้นฐานของวิวัฒนาการ ตราบจนกระทั่งเกิดแนวคิดการสังเคราะห์วิวัฒนาการยุคใหม่ (modern evolutionary synthesis) ขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930-1950 การค้นพบของดาร์วินยังถือเป็นรูปแบบการควบรวมทางทฤษฏีของศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต ที่อธิบายถึงความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต


          ความสนใจเกี่ยวกับธรรมชาติตั้งแต่วัยเด็กทำให้ดาร์วินไม่สนใจการศึกษาวิชาแพทย์ในมหาวิทยาลัยเอดินเบอระเลย แต่กลับหันไปช่วยการตรวจสอบสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เมื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ช่วยกระตุ้นความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมากขึ้น การเดินทางออกไปยังท้องทะเลเป็นเวลา 5 ปีกับเรือบีเกิล (HMS Beagle) และโดยเฉพาะการเฝ้าสำรวจที่หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และให้ข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งเขานำมาใช้ในทฤษฎีของเขา ผลงานตีพิมพ์เรื่อง การผจญภัยกับบีเกิล (The Voyage of the Beagle) ทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะนักเขียน
          ด้วยความพิศวงกับการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตในภูมิภาคที่แตกต่างกัน กับฟอสซิลที่เขาสะสมมาระหว่างการเดินทาง ดาร์วินเริ่มการศึกษาอย่างละเอียด และในปี ค.ศ. 1838 จึงได้สรุปเป็นทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะอภิปรายแนวคิดของตนกับนักธรรมชาติวิทยาหลายคน แต่ก็ยังต้องการเวลาเพื่อการวิจัยเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญกับงานด้านธรณีวิทยา เขาเขียนทฤษฎีของตนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1858 เมื่อ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ ส่งบทความชุดหนึ่งที่อธิบายแนวคิดเดียวกันนี้มาให้เขา และทำให้เกิดการรวมงานตีพิมพ์ของทฤษฎีทั้งสองนี้เข้าด้วยกันในทันที งานของดาร์วินทำให้เกิดวิวัฒนาการสืบเนื่องต่อมา โดยดัดแปลงมาเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลยิ่งต่อแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางชีววิทยาในธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 1871, เขาได้ตรวจดู วิวัฒนาการของมนุษย์ และ การคัดเลือกทางเพศ ใน The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex ตามด้วย The Expression of the Emotions in Man and Animals. งานวิจัยเกี่ยวกับพืชได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชุดหลายเล่ม ในเล่มสุดท้ายเขาได้ตรวจสอบ ไส้เดือน และอิทธิพลที่มันมีต่อดิน
          ดาร์วินได้รับยกย่องในฐานะนักวิทยาศาสตร์โดยมีการจัดพิธีศพอย่างเป็นทางการในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ และฝังร่างของเขาไว้เคียงข้างกับจอห์น เฮอร์เชล และ ไอแซก นิวตัน เขาได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/ชาลส์_ดาร์วิน
https://todayinhistoryblog.wordpress.com/2013/11/24/november-24th-1859-on-the-origin-of-species-published/
          สวัสดีครับ คอลัมน์บุลคลสำคัญวันนี้ ผมขอนำเสนอเกี่ยวกับบุคคลที่เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว เขาคนนี้คือ สตีเวน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) หรือที่รู้จักในชื่อ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs; 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 - 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011) เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และยังเคยเป็นประธานบริหารพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ใน ค.ศ. 2006 หลังดิสนีย์ซื้อกิจการพิกซาร์



          เขาร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์กับสตีฟ วอซเนียก ใน ค.ศ. 1976 เป็นผู้มีส่วนช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่อง Apple II ต่อมา เขาเป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอช หลังพ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจกับคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1984 จอบส์ลาออกจากแอปเปิลและก่อตั้งเน็กซ์ บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและตลาดธุรกิจ การซื้อกิจการเน็กซ์ของแอปเปิลใน ค.ศ. 1996 ทำให้จอบส์กลับเข้าทำงานในบริษัทแอปเปิลที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นนั้น และเขารับหน้าที่ CEO ตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ถึง 2011 จอบส์ยังเป็นประธานบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ 50.1% กระทั่งบริษัทวอลต์ดิสนีย์ซื้อกิจการไปใน ค.ศ. 2006 จอบส์เป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุดของดิสนีย์ที่ 7% และเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของดิสนีย์

          หลังจาก สตีฟ จอบส์ ประกาศแก่พนักงานแอปเปิลว่าตรวจพบมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 จอบส์ ก็มีปัญหาทางสุขภาพเรื่อยมา จนตัดสินใจลาออกจากการเป็นประธานบริหารของแอปเปิล เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2011 และ เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 หลังจากที่แอปเปิล ประกาศเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว
          สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาสอนวิธีการใส่ฟอนต์ลงบล็อกด้วย GoogleFonts เพื่อนๆคงเบื่อกับฟอนต์ธรรมดาๆที่ Blogger ให้เรามาใช่มั้ยล่ะครับ? งั้นวิธีที่ผมจะสอนนี้ละครับจะช่วยเพื่อนๆได้ แต่ต้องกล่าวไว้ก่อนเลยนะครับ ตอนนี้ GoogleFonts ยังไม่มีฟอนต์ภาษาไทยนะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลย


  1. ไปที่ GoogleFonts และเซาะหาฟอนต์ที่ต้องการ
  2. เมื่อค้นพบฟอนต์ที่ต้องการแล้วก็กดที่ "Add to Collection"
  3. คลิกที่ปุ่ม "use" ทางขวามือล่าง
  4. มันจะพาเราไปที่หน้า https://www.google.com/fonts#UsePlace:use ให้เราเลื่อนลงไปที่ข้อที่ 4 (ของหน้านั้นนะ ไม่ใช่ข้อที่ 4 ของวิธีนี้)
  5. คัดลอกโค้ดเก็บไว้
  6. เข้าสู่ระบบ Blogger และเลือกบล็อกที่คุณต้องการ
  7. เลือกที่ "แม่แบบ"
  8. คลิกที่ "แก้ไข HTML"


  9. กด "Ctrl+F" และค้นหา <head>
  10. นำโค๊ดที่คัดลอกมา (จากข้อ4) และวางข้างล่าง <head>

  11. ตัวอย่างเวลาวางโค๊ด
    
    
    <head>
    <link href='http://fonts.googleapis.com/css?family=Nunito:400,700' rel='stylesheet' type='text/css'/>
    
    
  12. ใส่ / หน้าเครื่องหมาย > ตามตัวอย่างข้างบนที่ทำสีแดงไว้
  13. เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็กด"บันทึกเทมแพลต"


วิธีนำฟอนต์ไปพิมพ์ในโพสต์
ใส่โค๊ดตามด้านล่างนี้ก่อนและหลังข้อความที่ต้องการเปลี่ยนฟอนต์
 <span style="font-family: FontName;"> ข้อความ </span>
เปลี่ยน FontName เป็นชื่อฟอนต์ที่ใส่ไป (ดูได้จาก https://www.google.com/fonts#UsePlace:use )
เปลี่ยน ข้อความ เป็นข้อความที่ต้องการ ย้ำอีกรอบมีเฉพาะฟอนต์ภาษาอังกฤษเท่านั้น
          สวัสดีครับวันนี้ผมจะมาสอนวิธีการใส่ไอคอน FontAwesome ลงในบล็อกของ Blogger ถ้าพร้อมกันแล้วก็ Let's Go!! go go hormones มันร้อนแรง พลุ่งพล่าน ออกไปเจอโลกกว้างใหญ่ เฮ้ยๆไม่ใช่แล้ว ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลย


  1. เข้าสู่ระบบ Blogger และเลือกบล็อกที่คุณต้องการ
  2. เลือกที่ "แม่แบบ"
  3. คลิกที่ "แก้ไข HTML"


  4. กด "Ctrl+F" และค้นหา <head>
  5. คัดลอกโค้ดด้านล่างนี้ และวางข้างล่าง <head>
  6. 
    
    <link href='https://maxcdn.bootstrapcdn.com/font-awesome/4.3.0/css/font-awesome.min.css' rel='stylesheet'/>
    ตัวอย่างเวลาวางโค๊ด
    
    
    <head>
     <link href='https://maxcdn.bootstrapcdn.com/font-awesome/4.3.0/css/font-awesome.min.css' rel='stylesheet'/>

  7. เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็กด"บันทึกเทมแพลต"


วิธีนำไปใช้งาน
  1. เลือกไอคอนที่คุณต้องการที่ FontAwesome Icons
  2. คลิกที่ไอคอนที่คุณต้องการ และเว็บจะพาคุณไปหน้าของไอคอนนั้นๆ ที่มีโค๊ดของไอคอนนั้นๆอยู่
    <i class="fa fa-ชื่อไอคอน"></i> ให้คัดลอกและนำมาวางในจุดที่คุณต้องการ (HTML)